การสร้างกำแพงกันดิน (Retaining Wall) : ความสำคัญและประเภท
กำแพงกันดิน คือ โครงสร้างที่สร้างขึ้นเพื่อต้านทานแรงกดดันด้านข้างของมวลดิน (Lateral Earth Pressure) และ ป้องกันไม่ให้ดินที่อยู่ระดับสูงกว่าเกิดการพังทลายหรือไหลลงสู่พื้นที่ที่อยู่ระดับต่ำกว่า
1. ความสำคัญของกำแพงดิน
- ป้องกันดินไหล (Soil Retention) : ป้องกันไม่ให้ดินที่คุณถมไว้ไหลลงไปยังที่ดินของเพื่อนบ้าน หรือไหลลงสู่ถนนสาธารณะ โดยเฉพาะเมื่อดินยังไม่เซตตัวเต็มที่
- ความมั่นคงของโครงสร้าง : หากจะมีการก่อสร้างอาคาร ใกล้กับแนวเขตที่ถมดิน กำแพงกันดินจะช่วยรักษาเสถียรภาพของดินใต้ฐานรากอาคาร
- การจัดการเขตแดน : เป็นการแบ่งเขตแดนที่ชัดเจนและป้องกันข้อพิพาทกับเพื่อนบ้านเรื่องดินหรือน้ำ
2. กำแพงกันดินต้องสร้างเมื่อไหร่
โดยทั่วไปกำแพงกันดินจำเป็นเมื่อ :
- ระดับดินต่างกันตั้งแต่ 50 ซม. ขึ้นไป : เมื่อความแตกต่างของระดับดินมีนัยสำคัญ แรงดันดินจะสูงขึ้นมาก
- ตามข้อกำหนดของกฎหมาย : หากการถมดินของคุณเข้าเงื่อนไขที่ต้องแจ้ง/ขออนุญาตต่อท้องถิ่น มักจะต้องมีมาตราการป้องกันดินไหล ซึ่งกำแพงกันดินคือมาตรการมาตรฐาน
- ป้องกันปัญหาเพื่อนบ้าน : แม้จะถมดินสูงเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าต้องการความสบายใจ และป้องกันปัญหาระยะยาว การมีกำแพงกันดินก็เป็นทางเลือกที่ดี
3. ประเภทของกำแพงกันดินที่นิยมใช้
ในงานถมที่ดินทั่วไป กำแพงกันดินที่ใช้กันมากที่สุด คือประเภทที่สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก (ค.ส.ล) หรือโครงสร้างที่อาศัยน้ำหนัก
3.1 กำแพงกันดินแบบอาศัยน้ำหนัก (Gravity Retaining Wall)
- ลักษณะ : อาศัยน้ำหนักของตัวโครงสร้างเองในการต้านทานแรงดันดิน มักทำจากหิน บล็อกคอนกรีต หรือคอนกรีตล้วนที่หนา
- ความเหมาะสม : เหมาะสำหรับกำแพงที่มีความสูงไม่มาก (ไม่เกิน 2-3 เมตร)
- ข้อดี : ก่อสร้างค่อนข้างง่ายและรวดเร็ว หากใช้บล็อกคอนกรีตสำเร็จรูป
3.2 กำแพงกันดินแบบคานยื่น (Cantilever Retaining Wall)
- ลักษณะ : เป็นโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กรูปตัว ‘ T ‘ หรือ ‘ L ‘ คว่ำ อาศัยเหล็กเสริมและฐานรากที่ยืนออกไป (Base Slab) เพื่อดึงน้ำหนักของดินที่อยู่บนรากฐานมาช่วยต้านทานแรงดันดินด้านข้าง
- ความเหมาะสม : เป็นประเภทที่นิยมใช้มากที่สุด สำหรับกำแพงที่มีความสูงปานกลางถึงสูง (ตั้งแต่ 2.5 เมตรขึ้นไป) ในงานก่อสร้างอาคาร
- ข้อดี : โครงสร้างเรียงบางกว่าแบบอาศัยน้ำหนัก แต่มีความแข็งแรงสูงและประหยัดวัสดุมากกว่าในกรณีที่ผนังสูง
3.3 กำแพงกันดินแบบเสาเข็ม (Piling Retaining Wall)
- ลักษณะ : ใช้เสาเข็มตอกหรือเจาะเรียงกันเป็นแนว มีการเสริมโครงสร้างคานรัดหัวเสา
- ความเหมาะสม : ใช้ในกรณีที่พื้นที่จำกัดมาก และไม่ต้องการให้ฐานรากยื่นเข้าไปในที่ดินของเพื่อนบ้าน หรือกรณีที่ดินด้านล่างอ่อนมาก
4. องค์ประกอบสำคัญที่ห้ามมองข้าม
องค์ประกอบสำคัญที่สุดของกำแพงกันดิน คือ “การระบายน้ำ” เนื่องจากสาเหตุหลักที่ทำให้กำแพงกันดินพังคือ “น้ำ” ที่สะสมอยู่ในมวลดินด้านหลัง
ท่อระบายน้ำ (Drainage System)
- Weep Holes (รูระบายน้ำ) : ควรติดตั้งรูระบายน้ำขนาดเล็กที่ด้านล่างของกำแพงเป็นระยะๆ เพื่อให้น้ำที่ซึมผ่านดินสามารถไหลออกมาได้
- Backfill Drainage : ควรใชชั้นของวัสดุที่ระบายน้ำได้ดี (เช่น หินคลุก หรือกรวด) บริเวณด้านหลังกำแพงที่ติดกับดิน เพื่อช่วยให้การระบายน้ำไปยังรูระบายน้ำทำได้รวดเร็วขึ้น


ข้อควรจำ
หากไม่มีระบบระบายน้ำ เมื่อมีฝนตกหนัก น้ำจะไปรวมตัวอยู่ด้านหลังกำแพงกันดิน ซึ่งจะเพิ่มแรงอุทกสถิต (Hydrostatic Pressure) มหาศาล ซึ่งอาจผลักให้กำแพงที่ออกแบบมาดีแล้ว เกิดการร้าวหรือพังถล่มได้
5. คำแนะนำสำหรับเจ้าของที่ดิน
- ปรึกษาวิศวกร : สำหรับกำแพงที่มีความสูงเกิน 1 เมตรขึ้นไป คุณควรจ้างวิศวกรโยธา มาออกแบบและคำนวณโครงสร้างกำแพงกันดินโดยเฉพาะ เพราะกำแพงกันดินต้องรับแรงมหาศาล และหากพังลงมาจะเกิดความเสียหายที่รุนแรง
- ข้อตกลงกับเพื่อนบ้าน : การสร้างกำแพงกันดินที่อยู่ชิดแนวเขต ควรมีการพูดคุยกับเพื่อนบ้าน เพื่อขออนุญาตให้รากฐานหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของกำแพงอาจล้ำเข้าไปในเขตแดนเล็กน้อย (ในทางวิศวกรรม) เพื่อความมั่นคง หรือเพื่อตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง หากกำแพงนั้นใช้ประโยชน์ร่วมกัน