การสร้างกำแพงกันดิน เมื่อถมที่ดิน

กำแพงกันดิน คือ โครงสร้างที่สร้างขึ้นเพื่อต้านทานแรงกดดันด้านข้างของมวลดิน (Lateral Earth Pressure) และ ป้องกันไม่ให้ดินที่อยู่ระดับสูงกว่าเกิดการพังทลายหรือไหลลงสู่พื้นที่ที่อยู่ระดับต่ำกว่า

  • ป้องกันดินไหล (Soil Retention) : ป้องกันไม่ให้ดินที่คุณถมไว้ไหลลงไปยังที่ดินของเพื่อนบ้าน หรือไหลลงสู่ถนนสาธารณะ โดยเฉพาะเมื่อดินยังไม่เซตตัวเต็มที่
  • ความมั่นคงของโครงสร้าง : หากจะมีการก่อสร้างอาคาร ใกล้กับแนวเขตที่ถมดิน กำแพงกันดินจะช่วยรักษาเสถียรภาพของดินใต้ฐานรากอาคาร
  • การจัดการเขตแดน : เป็นการแบ่งเขตแดนที่ชัดเจนและป้องกันข้อพิพาทกับเพื่อนบ้านเรื่องดินหรือน้ำ
2. กำแพงกันดินต้องสร้างเมื่อไหร่

โดยทั่วไปกำแพงกันดินจำเป็นเมื่อ :

  • ระดับดินต่างกันตั้งแต่ 50 ซม. ขึ้นไป : เมื่อความแตกต่างของระดับดินมีนัยสำคัญ แรงดันดินจะสูงขึ้นมาก
  • ตามข้อกำหนดของกฎหมาย : หากการถมดินของคุณเข้าเงื่อนไขที่ต้องแจ้ง/ขออนุญาตต่อท้องถิ่น มักจะต้องมีมาตราการป้องกันดินไหล ซึ่งกำแพงกันดินคือมาตรการมาตรฐาน
  • ป้องกันปัญหาเพื่อนบ้าน : แม้จะถมดินสูงเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าต้องการความสบายใจ และป้องกันปัญหาระยะยาว การมีกำแพงกันดินก็เป็นทางเลือกที่ดี
3. ประเภทของกำแพงกันดินที่นิยมใช้

ในงานถมที่ดินทั่วไป กำแพงกันดินที่ใช้กันมากที่สุด คือประเภทที่สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก (ค.ส.ล) หรือโครงสร้างที่อาศัยน้ำหนัก

3.1 กำแพงกันดินแบบอาศัยน้ำหนัก (Gravity Retaining Wall)

  • ลักษณะ : อาศัยน้ำหนักของตัวโครงสร้างเองในการต้านทานแรงดันดิน มักทำจากหิน บล็อกคอนกรีต หรือคอนกรีตล้วนที่หนา
  • ความเหมาะสม : เหมาะสำหรับกำแพงที่มีความสูงไม่มาก (ไม่เกิน 2-3 เมตร)
  • ข้อดี : ก่อสร้างค่อนข้างง่ายและรวดเร็ว หากใช้บล็อกคอนกรีตสำเร็จรูป
https://www.ถมดิน.com

3.2 กำแพงกันดินแบบคานยื่น (Cantilever Retaining Wall)

  • ลักษณะ : เป็นโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กรูปตัว ‘ T ‘ หรือ ‘ L ‘ คว่ำ อาศัยเหล็กเสริมและฐานรากที่ยืนออกไป (Base Slab) เพื่อดึงน้ำหนักของดินที่อยู่บนรากฐานมาช่วยต้านทานแรงดันดินด้านข้าง
  • ความเหมาะสม : เป็นประเภทที่นิยมใช้มากที่สุด สำหรับกำแพงที่มีความสูงปานกลางถึงสูง (ตั้งแต่ 2.5 เมตรขึ้นไป) ในงานก่อสร้างอาคาร
  • ข้อดี : โครงสร้างเรียงบางกว่าแบบอาศัยน้ำหนัก แต่มีความแข็งแรงสูงและประหยัดวัสดุมากกว่าในกรณีที่ผนังสูง

3.3 กำแพงกันดินแบบเสาเข็ม (Piling Retaining Wall)

  • ลักษณะ : ใช้เสาเข็มตอกหรือเจาะเรียงกันเป็นแนว มีการเสริมโครงสร้างคานรัดหัวเสา
  • ความเหมาะสม : ใช้ในกรณีที่พื้นที่จำกัดมาก และไม่ต้องการให้ฐานรากยื่นเข้าไปในที่ดินของเพื่อนบ้าน หรือกรณีที่ดินด้านล่างอ่อนมาก
4. องค์ประกอบสำคัญที่ห้ามมองข้าม

องค์ประกอบสำคัญที่สุดของกำแพงกันดิน คือ “การระบายน้ำ” เนื่องจากสาเหตุหลักที่ทำให้กำแพงกันดินพังคือ “น้ำ” ที่สะสมอยู่ในมวลดินด้านหลัง

ท่อระบายน้ำ (Drainage System)

  • Weep Holes (รูระบายน้ำ) : ควรติดตั้งรูระบายน้ำขนาดเล็กที่ด้านล่างของกำแพงเป็นระยะๆ เพื่อให้น้ำที่ซึมผ่านดินสามารถไหลออกมาได้
  • Backfill Drainage : ควรใชชั้นของวัสดุที่ระบายน้ำได้ดี (เช่น หินคลุก หรือกรวด) บริเวณด้านหลังกำแพงที่ติดกับดิน เพื่อช่วยให้การระบายน้ำไปยังรูระบายน้ำทำได้รวดเร็วขึ้น
กำแพงกันดินเมื่อต้องถมที่ดิน
กำแพงกันดินเมื่อต้องถมที่ดิน

ข้อควรจำ

หากไม่มีระบบระบายน้ำ เมื่อมีฝนตกหนัก น้ำจะไปรวมตัวอยู่ด้านหลังกำแพงกันดิน ซึ่งจะเพิ่มแรงอุทกสถิต (Hydrostatic Pressure) มหาศาล ซึ่งอาจผลักให้กำแพงที่ออกแบบมาดีแล้ว เกิดการร้าวหรือพังถล่มได้

5. คำแนะนำสำหรับเจ้าของที่ดิน
  • ปรึกษาวิศวกร : สำหรับกำแพงที่มีความสูงเกิน 1 เมตรขึ้นไป คุณควรจ้างวิศวกรโยธา มาออกแบบและคำนวณโครงสร้างกำแพงกันดินโดยเฉพาะ เพราะกำแพงกันดินต้องรับแรงมหาศาล และหากพังลงมาจะเกิดความเสียหายที่รุนแรง
  • ข้อตกลงกับเพื่อนบ้าน : การสร้างกำแพงกันดินที่อยู่ชิดแนวเขต ควรมีการพูดคุยกับเพื่อนบ้าน เพื่อขออนุญาตให้รากฐานหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของกำแพงอาจล้ำเข้าไปในเขตแดนเล็กน้อย (ในทางวิศวกรรม) เพื่อความมั่นคง หรือเพื่อตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง หากกำแพงนั้นใช้ประโยชน์ร่วมกัน
การสร้างกำแพงกันดินคือการลงทุนเพื่อความปลอดภัยและความมั่นคงในระยะยาว ซึ่งจะช่วยให้โครงการถมที่ดินและการก่อสร้างของคุณดำเนินไปได้อย่างราบรื่นค่ะ

การขออนุญาตถมที่ดิน

การขออนุญาตถมที่ดิน : กฎหมายและขั้นตอนที่ต้องรู้


การถมที่ดินนั้นอยู่ในภายใต้พระราชบัญญัติการขุดดินและถมดิน พ.ศ.2543 ซึ่งกำหนดให้การถมดินบางกรณีต้องมีการ “แจ้ง” หรือ “ขออนุญาต” ต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น (เช่น องค์การบริหารส่วนตำบล, เทศบาล, สำนักงานเขต)

เงื่อนไขที่ต้อง “แจ้ง” การถมดินตามกฎหมาย

ตามกฎหมายกำหนดว่า การถมดินที่มีพื้นที่ของเนินดินติดต่อเป็นผืนเดียวกันเกินกว่า 2,000 ตารางเมตร
(1 ไร่ 1 งาน หรือ 500 ตารางวา) และมีความสูงของเนินดินตั้งแต่ 2 เมตรขึ้นไป ต้องทำการแจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น

ขั้นตอนการขออนุญาต/แจ้ง

1. ติดต่อหน่วยงาน : ติดต่อกองช่าง หรือหน่วยงานที่รับผิดชอบของ อบต. / เทศบาล / สำนักงานเขตในพื้นที่
2. ยื่นเอกสาร :

  • คำขออนุญาต/คำแจ้ง
  • สำเนาโฉนดที่ดิน (พร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง)
  • สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของผู้แจ้ง
  • แผนผังบริวณที่จะทำการถมดิน แสดงแนวเขตที่ดิน และที่ดินบริเวณข้างเคียง
  • วิธีการถมดิน และรายละเอียดความสูงที่ต้องการ
  • (กรณีพื้นที่เกินกำหนด) รายการคำนวณและแบบแพลน พร้อมลายเซ็นรับรองจากวิศวกรโยธา


3. เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ : เจ้าหน้าที่จะออกตรวจสถานที่ และตรวจสอบเอกสารหลักฐาน
4. รอผลการพิจารณา : เจ้าพนักงานท้องถิ่นจะแจ้งผลการพิจารณาภายใน 7 วัน (นับจากวันที่ยื่นเอกสารครบถ้วน)
5. ชำระค่าธรรมเนียม : ชำระค่าธรรมเนียมตามที่กำหนด (โดยปกติค่าธรรมเนียมใบรับแจ้งการถมดินจะอยู่ที่ฉบับละประมาณ 500 บาท )

ข้อควรระวัง : แม้จะไม่เข้าเกณฑ์ที่ต้อง “แจ้ง” แต่หากความถมดินทำให้เกิดการเสียหาย หรือกระทบต่อการระบายน้ำของเพื่อนบ้าน เจ้าของที่ก็ยังมีความผิดตามกฎหมายแพ่งและพานิชย์ และต้องรับผิดชอบในการแก้ไขความเสียหายนั้น การทำกำแพงกันดินจึงเป็นสิ่งสำคัณเสมอ

ราคาถมดิน การประเมินค่าใช้จ่ายเบื้องต้น
ค่าใช้จ่ายในการถมดินจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย โดยเฉพาะ ชนิดของดิน และ ระยะทางขนส่ง


1. ราคาถมดินต่อ 1 ลูกบาศก์เมตร (คิว)
ราคานี้เป็นราคาถมดินโดยประมาณ และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามพื้นที่ ภูมิประเทศ และช่วงเวลา :

ชนิดของดินราคาโดยประมาณต่อ 1 คิวคุณสมบัติโดยทั่วไป
ดินถม/ดินทั่วไป150 – 250 ดินผสม เนื้อดินไม่เน้นคุณภาพ
ดินดาน/ดินเหนียว200 – 300ราคาขึ้นอยู่กับคุณภาพ และความอุดมสมบูรณ์ในการเพาะปลูก
ดินลูกรัง250 – 350เหมาะสำหรับงานก่อสร้าง บดอัด

2. สูตรการคำนวณปริมาณดินและงบประมาณ
เพื่อให้เห็นภาพรวม เราจะใช้ตัวอย่างการถมที่ดิน 1 งาน (400 ตารางวา) สูง 1 เมตร :

รายละเอียดการคำนวณผลลัพธ์
พื้นที่ (..) x ความสูง (.)400 x 1400 คิว
เผื่อค่ายุบตัว 20%400 + (400 x 0.20)480 คิว
ราคาทั้งหมด (ใช้ดินลูกรัง)480 x 300144,000 บาท

ตัวอย่างงบประมาณรวม :
ราคาดิน (144,000 บาท) + ค่าแรง/ค่าเครื่องจักรบดอัด (ประมาณ 30,000 – 50,000) = ประมาณ 174,000 – 194,000 บาท
ราคานี้เป็นค่าประมาณการเบื้องต้น ควรตรวจสอบราคากับผู้รับเหมาในพื้นที่จริงอีกครั้ง

สรุป : การถมที่ดินที่ถูกกฎหมายและคุ้มค่า ต้องเริ่มจากการวัดระดับ และคำนวณปริมาณดินให้แม่นยำ และดำเนินการแจ้ง/ขออนุญาตต่อท้องถิ่นให้เรียบร้อยก่อนเริ่มเสมอ

คู่มือสำหรับการถมที่ดิน

รับถมดินเกรียงไกร
รับถมที่ดิน กรุงเทพฯ ปริมณฑล

เตรียมความพร้อมสำหรับการก่อสร้าง : การปรับระดับพื้นดินให้สม่ำเสมอให้มีความแข็งแรงที่เหมาะสม จะช่วยให้งานรากฐานง่ายขึ้น และลดความเสี่ยงที่อาคารจะทรุดตัว

ปรับปรุงภูมิทัศน์ : ทำให้ที่ดินมีทัศนียภาพที่สวยงาม และใช้งานพื้นที่ได้เต็มศักยภาพ

  • ดินลูกรัง : มีสีแดงหรือน้ำตาลแดง มีคุณสมบัติแห้งเร็ว ระบายน้ำได้ดี และแน่นตัวสูง เหมาะสำหรับการถมที่เพื่อก่อสร้าง เนื่องจากมีความแข็งแรงและราคาไม่สูง แต่มีข้อเสียคือมีความแข็งมาก จนไม่เหมาะกับการทำเพาะปลูก
  • ดินทราย : มีราคาถูก แต่มีการระบายน้ำที่เร็วมาก และอาจเกิดการทรุดตัวได้ง่าย หากไม่มีการบดอัดที่เหมาะสม นิยมใช้ปรับระดับพื้นที่ขนาดใหญ่ ที่ไม่ต้องการความแข็งแรงมากนัก
  • ดินดาน/ดินเหนียว : เป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์น้อย เนื้อแน่น แต่ถ้าใช้ถมในปริมาณมากจะต้องระวังเรื่องการระบายน้ำ เพราะดินเหนียวจะอุ้มน้ำและแห้งช้า อาจทำให้เกิดปัญหาดินอ่อนตัวได้

ข้อควรระวัง : ควรหลีกเลี่ยงการใช้ขยะมูลฝอย หรือเศษวัสดุก่อสร้างมาถมที่ เพราะอาจทำให้เกิดการทรุดตัวที่ไม่สม่ำเสมอ เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค หรือสัตว์พาหะ และอาจผิดกฎหมาย

3.1 การสำรวจและการวัดระดับ (Survey)
จ้างวิศวกรหรือช่างรังวัดมาสำรวจ และวัดระดับความสูง-ต่ำของที่ดิน รวมถึงเปรียบเทียบกับระดับถนนและที่ดินข้างเคียง เพื่อกำหนดระดับถมที่ต้องการอย่างแม่นยำ

3.2 การคำนวณปริมาณดิน
คำนวณปริมาณดินที่ต้องใช้เป็น ลูกบาศก์เมตร
ข้อควรจำเผื่อต้องการค่า “การยุบตัว” (Compaction) ของดิน ซึ่งปกติจะอยู่ที่ประมาณ 20%-30% หมายความว่าคุณอาจจะต้องสั่งดินเพิ่ม 20%-30% จากปริมาณที่คำนวณได้ เพื่อให้ได้ความสูงตามต้องการหลังการบดอัดและทรุดตัว

3.3 ระยะเวลาพักดิน
หลังจากถมดินเสร็จ ควรปล่อยให้ดิน “เซตตัว” หรือ “ยุบตัว” ก่อนเริมงานก่อสร้างจริง ระยะเวลาพักดินที่เหมาะสม ควรอยู่ที่ 6-12 เดือน หากต้องการก่อสร้างเร่งด่วน ควรปรึกษาวิศวกรเพื่อพิจารณาการบดอัดและฐานรากที่เหมาะสม

การถมที่ดินไม่ใช่เรื่องที่ทำได้โดยพลการ เจ้าของที่ดินต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคต

กฎหมายควบคุมอาคาร : การถมที่ดินเพื่อเปลี่ยนระดับพื้นดิน ต้องระวังไม่ให้กระทบต่อระบบระบายน้ำสาธารณะ

ข้อบัญญัติท้องถิ่น : องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เช่น เทศบาล หรือ อบต. อาจมีข้อกำหนดเฉพาะเกี่ยวกับความสูงของการถมดิน การป้องกันการพังทลายของดิน และการระบายน้ำไปยังที่ดินข้างเคียง

การแจ้งเพื่อนบ้าน : ควรแจ้งหรือพูดคุยกับเพื่อนบ้าน เพื่อป้องกันข้อพิพาทเรื่องดินไหล หรือน้ำท่วม
สำคัญมาก หากการถมดินทำให้ระดับพื้นดินสูงขึ้นมาก และอาจส่งผลกระทบต่อเพื่อนบ้าน ควรสร้าง “กำแพงกันดิน” หรือ “รั้วคอนกรีต” เพื่อป้องกันดินไหลไปรบกวนพื้นที่ข้างเคียง

การถมที่ดินที่สำเร็จต้องอาศัยการวางแผนที่รอบครอบ การเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสม และความเข้าใจในข้อกฎหมาย การลงทุนในขั้นตอนเหล่านี้ จะนำมาซึ่งความมั่นคงและคุ้มค่าในระยะยาวสำหรับการพัฒนาที่ดินของคุณ

ที่ดินถมแล้วกับที่ดินเปล่าเสียภาษีต่างกันไหม?

ที่นากับที่ดินถมแล้ว เสียภาษีในการโอนที่ดินต่างกันไหม ?

มีคำถามครับว่าโอนที่ดินเป็นที่นา หรือ ที่ดินถมแล้ว เสียภาษีต่างกันไหม ?
เดี๋ยววันนี้จะมาให้คำตอบกันครับ

ในการโอนที่ดิน เพื่อซื้อขาย ที่ดินเปล่าทุกกรณี ค่าใช้จ่ายหลักๆ มันจะมีค่า ภาษีในการโอนที่ดิน ตัวภาษีธุรกิจเฉพาะ (ถ้ามีนะครับ) ตัวภาษีอากร และ ตัวสุดท้ายคือ ภาษีเงินได้

โดยปกติแล้ว ตัวภาษี หรือ ตัวค่าใช้จ่ายในการโอนเหล่านี้ เขาจะอ้างอิง กับ ราคาประเมิน (ของกรมที่ดิน) หรือ ว่าราคาซื้อขายเป็นหลัก ซึ่งปกติแล้วเวลาเราไปทำการโอนเพื่อซื้อขาย หรือ เวลาเราไปเสียภาษีส่วนใหญ่ เราก็ใช้ตัวราคาประเมิน (ของกรมที่ดิน) เป็นหลักนะครับ เราก็จะยึดตัวราคาประเมิน เพราะว่าโดยปกติแล้วราคาประเมินมันจะต่ำกว่าราคาที่เราซื้อขายจริงนะครับ

ไม่ว่าที่แปลงนั้น มันจะเป็นที่ถมแล้ว หรือ ว่ามันจะเป็นที่ที่เป็นหลุมเป็นบ่ออยู่ หรือ ยังไม่ได้ถมดิน ยังไงก็ตาม ราคาปรเมินจากกรมที่ดิน เขาใช้เป็นฐานในการคำนวณ มันก็คือ ตัวราคาประเมินของกรมที่ดิน อยู่ดีนะครับ เพราะฉะนั้น สุดท้ายแล้ว การโอนที่ดิน รายปี ไม่ว่าจะเป็นที่ที่ถมแล้ว หรือ ที่ดินเปล่า ถ้าเกิดว่าเราไม่ได้แจ้งราคาซื้อขายจริง เราก็จะใช้ตัวราคาประเมินเป็นหลักครับ เพราะฉะนั้นค่าใช้จ่ายจึงจะต่างกัน

เริ่มต้นต้น จะถมดิน ควรทำอย่างไรดี

ศึกษาข้อมูลจากในเว็บ เบี้องต้น

โทรหาเรา เพื่อให้ข้อมูล หลักๆ ประมาณ 4 อย่าง
ข้อมูลที่เราต้องการ เพื่อประเมินราคา ถมดินทางโทรศัพท์

📍 ตำแหน่งที่ตั้งของที่ดิน : สำหรับการคำนวณระยะทาง ในการขนส่งดิน และ ขนาดของถนน เพื่อรถบรรทุก ในการทำงาน เช่น บางซอยในกรุงเทพ หรือ บางหมู่บ้าน จำกัดให้ใช้ได้เพียง รถบรรทุกหกล้อ
📍 ขนาดพื้นที่ ที่ต้องการถม : เพื่อคำนวณปริมาณการใช้ดิน
📍 ระดับความลึกในการถม : เพื่อประเมินราคาการใช้ปริมาณดิน ซึ่งอาจกะคราวๆ ว่าลึกประมาณเท่าไร
📍 เน้นถมที่ดินเพื่อทำอะไร : เพื่อเลือกชนิดของดิน ให้ท่าน เช่น ถมดินสร้างบ้าน, ถมดินดานทำโรงงาน, หน้าดินปลูกต้นไม้ ดินลูกรังทำถนน ซึ่งราคาชนิดของดิน จะแตกต่างกัน

เมื่อยอมรับราคาประเมินค่าถมดิน ที่เสนอทางโทรศัพท์ได้ สามารถนัดวัดที่ดินจริง ได้

“ในการวัดที่ดิน เราให้บริการ ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย”

ประเมินเวลา ในการวัดที่ดิน ด้วยกล้องวัดระดับ เพื่อเสนอราคา
ขนาด เล็กกว่า 100 ตารางวา : ประมาณ 20 นาที ทราบผลราคา
ขนาด ประมาณ 100 ตารางวา ถึง 1 ไร่ : ประมาณ 30 นาที
ขนาด เกิน 1 ไร่ จนถึง 5 ไร่ : ใช้เวลา ประมาณ 2 ชั่วโมง
เกินกว่า 5 ไร่ :

รับถมดิน รับเหมาถมดิน กรุงเทพฯ ปริมณฑล

หากคุณกำลังมองหาผู้รับเหมาถมดิน ดีลงานตรง ไม่ผ่านนายหน้า

เครื่องจักรทันสมัย ทีมช่างมืออาชีพ มีประสบการณ์ มากกว่า 20+ปี

ราคาเป็นธรรม ไม่เอาเปรียบลูกค้า เรายินดีให้บริการค่ะ

เกรียงไกร รับถมดิน 087-981-2102

เพื่อเป็นการรักษาพื้นที่ หรือ ที่ดินของเรา ให้มีความพร้อม และ มีประสิทธิภาพในการใช้งาน

การถมดินจึงเป็นประโยชน์และเหมาะสมสำหรับการใช้งานที่ดีที่สุด

นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มมูลค่าทรัพยากรที่ดินของเราได้อีกด้วย

การคำนวณที่ดิน

  • มาตราส่วนการวัด

1 ไร่ คือ ขนาดพื้นที่ 400 ตารางวา หรือ 1600 ตารางเมตร

1 งาน คือ ขนาดพื้นที่ 100 ตารางวา หรือ 400 ตารางเมตร

1 ตารางวา คือ (กว้าง2เมตร X ยาว2เมตร) หรือ 4 ตารางเมตร

รับถมที่ดิน พร้อมปรับเกลี่ย

เรารับถมดินทุกประเภท ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่

เพื่อสร้างบ้าน, อาคาร, ตึก, หน่วยงานภาครัฐ, โรงงาน, โกดังสินค้า, ทำถนน, ลานจอดรถ, ปลูกต้นไม้เลี่ยงภาษี

ยินดีให้คำปรึกษา พร้อมออกประเมินหน้างานให้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

จำหน่ายหน้าดิน ดินถุง ดินปลูก ทุกประเภท

เราจำหน่ายหน้าดิน ที่เหมาะแก่การเพาะปลูก

ดินดำ ดินถมทั่วไป สำหรับการสร้างบ้าน

ดินดาน (ซีแลค) สำหรับทำพื้นถนน ลานจอดรถ

ดินไซต์งาน ลูกรัง หินคลุก หินเกล็ด ทรายหยาบ ทรายละเอียด พร้อมจัดส่งทุกชนิด

บริการรื้อถอน รื้อบ้าน ทุบตึก

เราให้บริการงานรื้อถอน รื้อถอนบ้าน รื้อถอนอาคาร รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทุกชนิด

โดยทีมงานที่มีความรู้ มีประสบการณ์ และความเชี่ยญชาญ

ดำเนินการตามขั้นตอน ตามหลักวิศวกรรม เพื่อความปลอดภัยสูงสุด และเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าแบบครบวงจร

สนใจติดต่อสอบถาม

ยินดีให้คำปรึกษาฟรี พร้อมให้คำแนะนำ 087-981-2102

ดินมีกี่ประเภท ที่ใช้ถมดิน ในกรุงเทพฯ และ ปริมณฑล

ว่าด้วยเรื่องการถมดิน ในพื้นที่ กรุงเทพ และ ปริมณฑล เราจะแนะนำแบบง่ายๆ เพื่อความเข้าใจ สำหรับท่านเจ้าของที่ดินในการตัดสินใจเลือกถมดิน ทั้งนี้ ชนิดของดิน จะเป็นตัวแปรในเรื่องระยะทาง และ ความคุ้มค่าของราคาถมดิน จึงมีข้อจำกัดของชนิดดินที่ใกล้บริเวณกรุงเทพ และ ปริมณฑล (ข้อความนี้ อาจไม่เหมาะกับพื้นที่ต่างจังหวัด เพราะ แหล่งดินไกล้พื้นที่นั้นๆ จะแตกต่างไปตามพื้นที่) ซึ่งดินแต่ละชนิดมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป

ดินเป็นสื่อกลางในการเจริญเติบโตของพืช ดังนั้นการรู้ประเภทของดินจึงมีความสำคัญมาก เนื่องจากจะเป็นตัวกำหนด และข้อจำกัดในการปลูก

นอกจากนี้เรายังสามารถตัดสินใจได้ในทันที ว่าดินชนิดไหนเหมาะกับการปลูกพืชในสวนของเรา

รากของพืชจะกระจายได้อย่างอิสระ ในดินที่ร่วนซุย และสามารถดึงน้ำและสารอาหารได้ง่าย

ส่วนดินที่แข็งและถูกบดอัด จะถูกขัดขวางไม่ให้รากแพร่กระจายไปถึงสารอาหารและน้ำ

พืชที่ปลูกในดินที่แข็งและมีความแห้งแล้ง ก็จะมีลักษณะแคระแกรนได้

ประเภทของดิน

ประเภทของดินจะแบ่งตามลักษณะเนื้อสัมผัส ในประเทศไทยจะพบดินเพียง 3 ประเภท

ได้แก่ ดินเหนียว, ดินร่วน, ดินทราย

  • ดินเหนียว (Clay Soil)

เป็นดินที่มีความละเอียดมาก และเป็นดินประเภทที่หนักและหนาแน่นที่สุด

อนุภาคในดินถูกอัดแน่นเข้าด้วยกัน และมีช่องว่างระหว่างอนุภาคดินไม่มาก ทำให้ระบายน้ำไม่ดี แต่กักเก็บน้ำได้ดี

ดินนี้เมื่อเปียกจะให้สัมผัสที่เหนียวมาก แต่จะเรียบและแตกร้าวเมื่อแห้ง

  • กักเก็บน้ำได้ดีมาก
  • มีความยืดหยุ่นสูง
  • ดูดซับแร่ธาตุและอาหารได้ดี

  • ดินร่วน (Loam Soil)

มีลักษณะละเอียด ร่วน เป็นดินที่ผสมผสานระหว่างดินทราย,ดินเหนียว และตะกอน ในสัดส่วนที่สมดุล

มีคุณสมบัติในการกักเก็บความชื้นและสารอาหาร ตะกอนจะช่วยเพิ่มพื้นที่ว่างช่วยให้แร่ธาตุ, อินทรียวัตถุ และน้ำ แทรกเข้าไปหล่อเลี้ยงพืช

ดินร่วนจึงเป็นดินที่เหมาะแก่การทำการเกษตรมากกว่าดินชนิดอื่น

  • ระบายน้ำได้ดี กักเก็บความชื้นได้ดี
  • เป็นแหล่งอาหารที่สมบูรณ์
  • เหมาะสำหรับการเพาะปลูกทั่วไป

  • ดินทราย (Sandy Soil)

ดินทรายประกอบด้วยดินผุกร่อนขนาดเล็ก มักเกิดจากการแตกตัวของหินต่างๆ มีสัมผัสที่ค่อนข้างสาก

เป็นดินที่มีน้ำหนักเบา ระบายน้ำได้อย่างรวดเร็ว ไม่สามารถกักเก็บน้ำได้ ดินประเภทนี้ดีต่อระบบระบายน้ำมาก

ในดินมีส่วนประกอบของทรายมากกว่า 85% จึงทำให้เก็บสารอาหารได้น้อย

  • เนื้อหยาบ ผิวสัมผัสสาก
  • ระบายน้ำได้ดี แห้งเร็ว
  • มีน้ำหนักเบา