เกร็ดความรู้การถมดิน

ถมดินให้ฉลาดกว่าผู้รับเหมา : เจาะลึกเรื่อง “ธรณีวิทยา” และ “สารปนเปื้อน” ที่อาจทำบ้านพังเงียบๆ

คนส่วนใหญ่โฟกัสแค่ “ราคาถูก” และ “ดินแน่น” แต่ลืมไปว่าดินคือ สิ่งมีชีวิต ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีและกายภาพ บทความนี้จะพาคุณข้ามเรื่องพื้นฐาน ไปสู่ความรู้ระดับ Pro-Level ที่จะช่วยปกป้องเงินล้านของคุณจากภัยเงียบใต้ดิน

1. ภัยเงียบจาก “ดินเค็ม” และ “ดินเปรี้ยว” : ศัตรูตัวฉกาจของฐานรากคอนกรีต

บทความทั่วไปมักบอกให้ดูแค่ “เนื้อดิน” (ดินเหนียว/ดินทราย) แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือ ค่า pH และความเค็มของดิน ที่มาจากการถมดิน

  • ดินเค็ม (Saline Soil) : มักปนเปื้อนมากับดินที่ขุดจากบ่อเลี้ยงปลาเก่า หรือดินแถบชายทะเล ความเค็มจะซึมเข้าสู่ฐานรากและกัดกร่อนเหล็กเสริมในคอนกรีตให้เป็นสนิม ทำให้เสาเข็มระเบิดแตกจากภายใน (Spalling) โดยที่คุณมองไม่เห็น
  • ดินเปรี้ยว (Acid Sulfate Soil) : ดินที่มีความเป็นกรดสูง (มักพบในดินชุดรังสิต หรือพื้นที่หนองน้ำเก่า) จะทำปฏิกิริยากับปูนซีเมนต์ ทำให้คอนกรีตเสื่อมสภาพเร็วกว่ากำหนด

วิธีแก้เกม : ก่อนตกลงซื้อดินจำนวนมาก ซื้อกระดาษลิตมัส (Litmus Paper) หรือเครื่องวัด pH ดินง่ายๆ มาสุ่มตรวจตัวอย่างดิน หรือถามแหล่งที่มาให้ชัดว่าไม่ได้มาจากนากุ้งหรือบ่อปลาเก่า

2. “The Bathtub Effect” (ปรากฏการณ์อ่างอาบน้ำ) : เมื่อถมสูงเกินไป กลายเป็นกับดัก

ความเชื่อที่ว่า “ยิ่งถมสูง ยิ่งหนีน้ำ” อาจกำลังฆ่าบ้านคุณ ถ้าคุณถมดินสูงกว่าเพื่อนบ้านมากๆ โดยไม่มีระบบจัดการน้ำใต้ดินที่ดี

เมื่อฝนตก น้ำจะซึมลงดินใหม่ของคุณได้ง่าย (เพราะยังร่วนกว่าดินเดิม) แต่ไม่สามารถไหลออกไปด้านข้างได้ เพราะดินข้างเคียงแน่นทึบ ผลลัพธ์คือ ใต้บ้านคุณจะกลายเป็นบ่อเก็บน้ำขนาดใหญ่ (Bathtub)

  • ส่งผลให้ดินใต้บ้านเหลวเป็นโคลนตลอดเวลา (Liquefaction potential)
  • ความชื้นสะสมทำให้เชื้อราขึ้นบ้าน และปลวกชอบมาก

วิธีแก้เกม : การทำ “ระบบระบายน้ำใต้ดิน (Sub-soil Drainage)” หรือการวางท่อพรุน (Perforated Pipe) หุ้มด้วยแผ่นใยสังเคราะห์รอบที่ดินก่อนการถม เพื่อระบายน้ำใต้ดินออกสู่ท่อสาธารณะ ไม่ให้ขังอยู่ใต้ตัวบ้าน

3. นวัตกรรม “Geotextile” (แผ่นใยสังเคราะห์) : จ่ายเพิ่มหลักพัน ประหยัดหินหลักหมื่น

นี่คือเทคนิคที่วิศวกรใช้สร้างถนนหลวง แต่คนสร้างบ้านไม่ค่อยรู้ การปู Geotextile (จีโอเทกซ์ไทล์) หรือแผ่นใยสังเคราะห์ คั่นกลางระหว่าง “ชั้นดินเดิม (ที่นิ่ม)” กับ “ดินถมใหม่”

  • ป้องกันดินจมหาย : หากคุณถมดินคลุกหรือลูกรังลงไปบนดินเลนโดยตรง หินจะค่อยๆ จมหายไปรวมกับเลน ทำให้คุณต้องถมเพิ่มเรื่อยๆ ไม่จบสิ้น (เปลืองงบมาก)
  • เพิ่มแรงรับน้ำหนัก : แผ่นใยช่วยกระจายแรง ทำให้นถบรรทุกหรือเครื่องจักรเข้าทำงานได้เร็วขึ้นโดยไม่ติดหล่ม และลดการทรุดตัวแบบไม่เป็นหลุมบ่อ
4. อย่าไว้ใจ “ประวัติเพื่อนบ้าน” จงใช้ “Soil Boring Test” (เจาะสำรวจดิน)

คำแนะนำที่ว่า “ถามข้างบ้านดูว่าตอกสาเข็มลึกเท่าไหร่” คือความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุด เพราะชั้นดินเมืองไทย (โดยเฉพาะ กทม. และปริมณฑล) เป็นแบบ กระทะขนมครก ห่่างกันแค่ 10 เมตร ชั้นทรายที่รับน้ำหนักอาจอยู่คนละระดับความลึก

การเจาะสำรวจดิน (Soil Boring Test) ราคาประมาณ 15,000 – 20,000 บาท แลกกับความคุ้มค่า 2 ต่อ :

  1. ประหยัดค่าเสาเข็ม : วิศวกรไม่ต้องเผื่อ Safety Factor เวอร์เกินจริง เพราะรู้ค่าดินที่แน่นอ
  2. รู้ค่าการทรุดตัว (Consoildation) : ผลแล็บจะบอกได้เลยว่า ถมดินสูงเท่านี้ ดินเดิมจะยุบลงไปอีกกี่เซนติเมตร ในเวลากี่ปี ทำให้คุณวางแผนระดับถมเผื่อได้แม่นยำระดับวิศวกรรม ไม่ใช่การเดาสุ่ม
5. กลโกง “ดินขยะ” (Construction Waste)

ในยุคที่มีการรื้อถอนตึกเยอะ ผู้รับเหมาบางรายมักง่าย รับเหมาทิ้งขยะก่อสร้างแล้วเอามา “ยัดไส้” ในการถมที่ของคุณ

  • เศษอิฐ เศษปูน เศษพลาสติก เมื่อถูกถมลงไป นานวันเข้าจะเกิดโพรงในอากาศ
  • สารเคมีจากขยะอุตสาหกรรม อาจระเหยขึ้นมาสู่ตัวบ้าน

วิธีตรวจสอบ : สังเกตเนื้อดินขณะดัมพ์ลง ถ้ามีเศษกระเบื้อง เศษสายไฟ หรือกลิ่นเหม็นผิดปกติ ให้สั่งหยุดงานทันที และระบุสัญญาว่า “ต้องเป็นดินบริสุทธิ์ (Virgin Soil) เท่านั้น ห้ามมีวัสดุก่อสร้างปนเปื้อน”

บทสรุป : การถมดินคือ “วิศวกรรม” ไม่ใช่แค่ “การขนส่ง”

การยกระดับความรู้จากการแค่ “สั่งดินมาเท” เป็นการ “บริหารจัดการโครงสร้างดิน” จะทำให้ที่ดินของคุณมีมูลค่าเพิ่มขึ้นทันที ลดความเสี่ยงบ้านทรุด ร้าว และปัญหาสุขภาพจากความชื้นหรือสารเคมี การจ่ายแพงกว่าเล็กน้อยเพื่อการสำรวจและการจัดการที่ถูกต้อง คือการซื้อประกันภัยที่ดีที่สุดให้กับบ้านของคุณ

Leave a Comment